อาวดี้ เปิดตัว Q7 และ Q8 ปลั๊กอินไฮบริด พร้อมเพิ่มออฟชั่น ในราคาลดลงสูงสุดถึง 1 ล้านบาท

Last updated: 30 พ.ย. 2566  | 

นายกฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด หรือ อาวดี้ ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากนโยบายของ AUDI AG ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าอีกไม่ต่ำกว่า 20 รุ่น ภายในปี 2025 และนโยบายของรัฐบาลไทยที่ส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในปีนี้ อาวดี้ ประเทศไทย จึงมีแผนที่จะทยอยนำสุดยอดยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง รวมถึงยนตรกรรมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดของอาวดี้ ซึ่งได้รับการพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยีเจเนอเรชั่นล่าสุด ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา คือ ทรงพลังเป็นเยี่ยม ขับสนุกสุดๆ และประหยัดน้ำมัน โดยยนตรกรรมอาวดี้เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดสองรุ่นแรกที่เปิดตัวในประเทศไทยแล้ววันนี้ คือ Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition พรีเมียม SUV ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก

 

ความโดดเด่นของเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดของอาวดี้นับเป็น The Best Plug-in Hybrid Ever หรือเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นล่าสุด เกิดจากการผสานสองสุดยอดเทคโนโลยีพลังขับเคลื่อนอย่างลงตัว คือ เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า ที่อาวดี้ทุ่มทรัพยากรและงบประมาณในการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งเป็นผู้นำตลาดรถหรูในด้านรถไฟฟ้า 100% จากความสำเร็จของ Audi e-tron ที่ส่งมอบไปแล้วกว่า 160,000 คัน ทั่วโลก และความเยี่ยมยอดของเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่ปัจจุบันได้พัฒนามาถึงขั้นสูงสุด พิสูจน์ได้จากตระกูล RS โมเดลล้วนเป็นท๊อปเพอร์ฟอร์แมนซ์ ซึ่งอาวดี้ได้ส่งต่อความรู้ในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ไปยังรถรุ่นอื่นๆ โดยเฉพาะยนตรกรรมปลั๊กอินไฮบริด เจเนอเรชั่นล่าสุด ที่ไม่เพียงประหยัดน้ำมันแต่ยังมีสมรรถนะสูง ทรงพลัง สามารถส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่มั่นใจ สนุก เร้าใจ ให้แฟนๆ อาวดี้ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ลงตัวที่สุด

 

เทคโนโลยีขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดเจเนอเรชั่นล่าสุดให้สมรรถนะยอดเยี่ยม เร้าใจของทั้ง Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition นั้น มาพร้อม Dynamic Badge ตราสัญลักษณ์ “60 TFSI e” ด้านท้ายรถ ซึ่งเป็นตัวเลขบ่งบอกแรงม้าที่สูงที่สุดเท่าที่ Audi เคยใช้มา โดยในส่วนของเครื่องยนต์สันดาปเป็นเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ ขนาด 2,995 ซีซี ผลิตแรงม้าได้ที่ 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังได้ถึง 136 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตันเมตร เมื่อผสานการทำงานกันจะให้พละกำลังจากระบบขับเคลื่อนสูงสุดถึง 462 แรงม้า 700 นิวตันเมตร ซึ่งนับเป็นรถยนต์  พรีเมียมเอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดที่มีพละกำลังสูงสุดในตลาดประเทศไทยในปัจจุบัน โดยสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 5.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง

 

แบตเตอรี่ลิเธียม-อิออนแรงดันสูงมีความจุ 17.9 กิโลวัตต์ สามารถรองรับการชาร์จได้สูงสุดถึง 7.4 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ภายใน 2.5 ชั่วโมง แบตเตอรี่ถูกบรรจุไว้ในบริเวณที่เก็บสัมภาระท้ายรถ ซึ่ง Audi ได้ออกแบบแบตเตอรี่ให้มีขนาดเล็ก ทำให้พื้นที่เก็บสัมภาระยังคงมีขนาดความจุสัมภาระสูงมากถึง 505 ลิตร ในรุ่น Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ 650 ลิตรใน Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition ซึ่งนับเป็นความจุพื้นที่เก็บสัมภาระที่สูงมากที่สุดในรถขนาดเดียวกัน ซึ่งทั้ง 2 รุ่น สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้มากกว่า 40 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งเหมาะสมกับการใช้รถในเมือง ซึ่งสอดรับจากการวิจัยของ Audi ที่พบว่าลูกค้าส่วนมากจะใช้งานรถไฟฟ้าในเมืองไม่เกินวันละ 30 กิโลเมตร ความพิเศษของ Audi ปลั๊กอินไฮบริดอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค คือ แบตเตอรี่เจเนอเรชั่นล่าสุดนี้ หากมีความเสียหายเกิดขึ้นช่างเทคนิคจะสามารถเปลี่ยนอะไหล่และแบตเตอรี่แยกย่อยเป็นแต่ละโมดุลได้ ทำให้ค่าบำรุงรักษาเมื่อแบตเตอรี่หมดระยะรับประกันจะต่ำลงเป็นอย่างมาก เพื่อความสบายใจในการใช้งาน (Customer Peace of Mind) ไปได้นานๆ หรือหากจะเปลี่ยนคันใหม่ Resell value ราคาก็จะไม่ลดมูลค่าลง  แบตเตอรี่แรงดันสูงในรถปลั๊กอินไฮบริดของ Audi มีการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

 

Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ได้รับการออกแบบให้ลุคสปอร์ต ภายนอกตกแต่งด้วยชุดแต่ง S line และอัพเกรดการตกแต่งเป็นแบบ Black Edition โดยเปลี่ยนคิ้วโครเมียมรอบคันเป็นสีดำและฝาครอบกระจกมองข้างสีดำดูดุดัน ล้ออัลลอยลายใหม่ ขนาด 21 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดงทั้งหน้า-หลัง  ระบบไฟหน้า 2 แบบ ให้เลือกทั้งแบบไฟหน้า LED และไฟหน้า matrix LED อัจฉริยะที่จะสามารถปรับแสงปิด LED บางดวงอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้แสงกวนตาผู้ขับรถที่สวนมา พร้อมไฟเอฟเฟกต์ Light staging เมื่อปลดล็อค 

 

ในรุ่น Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition ภายในได้เพิ่มอุปกรณ์การตกแต่งเป็นแบบ S line Interior พวงมาลัยท้ายตัดพร้อมเบาะนั่งพร้อมตราสัญลักษณ์ S line  ส่วนในรุ่น Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ได้รับการตกแต่งให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกด้วย เบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบ Super Sport ลาย Diamond Cut ในแบบฉบับ RS Full Bucket Seat องศาความลาดของเบาะที่ออกแบบให้สอดคล้องกับความลาดเอียงของกระจก ช่วยจัดระดับของสายตาให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ขับขี่ วัสดุหุ้มหนัง Valcona คุณภาพสูง นุ่มสบาย พวงมาลัย Multi-function แบบสปอร์ตท้ายตัด ระบบ MMI Navigation plus พร้อม MMI touch ขนาด 10.1 นิ้ว และจอควบคุม multi-function แบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว พร้อม Paddle shift จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ 17 ตำแหน่ง 730 วัตต์ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน และเพิ่มฟังก์ชั่นเปิดแอร์ได้ขณะดับเครื่อง (Stationary Air-conditioning) ช่วงล่างระบบถุงลม (Adaptive air suspension) ในรุ่น Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ ช่วงล่างระบบถุงลมแบบ Sport ในรุ่น Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ภายในพื้นที่ห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระนั้นกว้างขวาง ถือได้ว่าเป็น SUV ที่ขนาดใหญ่ที่สุดในเซกเมนต์  รองรับการเดินทางของครอบครัวใหญ่หรือเพื่อนร่วมทริปได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ยังมาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน อาทิเช่น กล้องรอบคัน 360 องศา ประตูไฟฟ้าอัตโนมัติ หลังคาพาโนรามิค และแร็คบรรทุกสัมภาระบนหลังคา 


Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition มีความสมบูรณ์แบบทั้งด้านสมรรถนะ ดีไซน์ การตกแต่ง ออฟชั่น ในราคาสุดคุ้มค่า คือ Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition (LED Headlight) ราคา 4,799,000 บาท Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition (Matrix LED Headlight) ราคา 4,899,000 บาท (จำนวนจำกัด) Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 5,799,000 บาท


สืบเนื่องจากมาตรการสนับสนุนการใช้รถ PHEV ของรัฐบาล ราคานี้นับเป็นราคาที่ต่ำลงกว่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในถึง 600,000 – 1,000,000 บาท ถือว่าเป็น The Best Price Ever หรืออาจเรียกว่าเป็นรถยนต์คุณภาพนำเข้าทั้งคันในราคารถประกอบภายในประเทศ นอกจากนี้ Audi Thailand ยังกระตุ้นตลาด Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ทันทีด้วยโปรโมชั่น ดอกเบี้ยพิเศษ 1.59% นาน 60 เดือน และแถมฟรีเครื่องชาร์จ Wallbox ขนาด 7.4 กิโลวัตต์ อีก 1 เครื่อง นอกเหนือจากเครื่องชาร์จของ Audi ที่มาพร้อมกับรถยนต์อยู่แล้ว


Audi เป็นรถยนต์นำเข้าจากประเทศเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถใหม่จะได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รถ Plug-in Hybrid TFSI e ใหม่ ทุกรุ่นรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี ลูกค้าอาวดี้สามารถมั่นใจกับงานบริการหลังการขาย ซึ่งมีมาตรฐานคุณภาพเดียวกันทุกสาขา

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้