พิสูจน์พลังสกายแอคทีฟ กับคาราวานเปิดประสบการณ์สุดขั้วโลกไปกับมาสด้า

Last updated: 30 พ.ย. 2566  | 

ปัจจุบันรถอเนกประสงค์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ทำให้ตลาดประเภทนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนกระแสตลาดโดยรวมที่ชะลอตัว คุณสมบัติเด่นของรถเซ็กเมนต์นี้ให้ความสะดวกสบาย กว้างขวาง สมรรถนะดี ตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายไม่ว่าจะขับขี่ในเมืองหรือขับขี่บนเส้นทางสมบุกสมบัน ก็สามารถลุยได้เช่นกัน จึงเป็นรถยนต์ที่ให้ความคุ้มค่าคุ้มราคา แบรนด์รถยนต์ต่างผุดรถประเภทนี้แตกย่อยหลายระดับราคาให้เลือกตามไลฟ์สไตล์ รถยนต์รูปแบบรถครอสโอเวอร์จึงเป็นรุ่นไฮท์ไลท์สำคัญที่น่าจับตามองว่าจะสร้างตัวเลขที่สวยงามให้กับยอดรวมตลาดรถยนต์เมืองไทยในปี 2559 ได้หรือไม่


ค่ายมาสด้าได้ส่งรถครอสโอเวอร์ลุยตลาด 2 รุ่น คือ มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 รถฟรีสไตล์ครอสโอเวอร์ขนาดซับคอมแพ็ค เป็นโมเดลที่ 4 ที่ใช้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ โดยมีจุดเด่น คือ มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน (Skyactiv-G) ขนาด 2.0 ลิตร แรงม้าสูงถึง 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 204 นิวตันเมตร ให้ความประหยัด 16.4 กิโลเมตรต่อลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล (Skyactiv-D) ขนาด 1.5 ลิตร  แรงม้าสูงสุด 105 แรงม้า แรงบิดสูงสุดถึง 270 นิวตันเมตร ให้ความประหยัดมากที่สุด 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร เป็นรถที่ขับสนุก ช่างล่างนุ่มนวล และยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยม อีกหนึ่งจุดแข็งนั่นคือความล้ำของเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลกอย่าง i-ACTIVSENSE ที่จะทั้งช่วยป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ และเทคโนโลยี MZD Connect ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อสื่อสารง่ายที่สุด ซึ่งหลังจากเปิดตัวได้เพียง 10 วัน สามารถกวาดยอดจองได้สูงถึง 2,000 คัน เลยทีเดียว


อีกรุ่นของครอสโอเวอร์กับมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 เป็นโมเดลแรกของมาสด้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟทั้งคัน ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นรถเจนเนอเรชั่นที่ 6 รุ่นแรกของมาสด้า เพื่อส่งมอบทุกองค์ประกอบของ 4 Pillars ที่ประกอบไปด้วย โคโดะ ดีไซน์, เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ, ระบบความปลอดภัยระดับโลก i-ACTIVSENSE และระบบเชื่อมต่อสื่อสาร MZD Connect ให้กับรถมาสด้ารุ่นหลังต่อไป หลังจากเปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นก็ครองตำแหน่งรถอเนกประสงค์ที่ขายดีที่สุดในปี 2555-2556 และกระแสยังดีไม่ตกทำให้มียอดการผลิตทะลุ 1 ล้านคัน ด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น อีกทั้งยังกวาดรางวัลจากทั่วโลกกว่า 60 รางวัล มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์คลีนดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร ประหยัดน้ำมันได้ถึง 17.5 กิโลเมตรต่อลิตร มีทั้งแบบขับเคลื่อน AWD และขับเคลื่อน 2 ล้อ อีกหนึ่งทางเลือกกับเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.0 ลิตร ประหยัดน้ำมัน 14.5 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งยังคงคอนเซ็ปต์ของการเป็นรถขับสนุก ที่ให้ความแรงพร้อมกับความประหยัดน้ำมันได้อย่างดีเยี่ยม โดดเด่นเรื่องสมรรถนะไม่ว่าขับขี่สไตล์คนเมือง หรือบนเส้นทางที่มีอุปสรรคก็สามารถนำพาไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำเต็มคัน จึงเป็นรถที่เติมเต็มทุกองค์ประกอบของการขับขี่ได้ครอบคลุมมากที่สุดอีกรุ่น


ด้วยสไตล์ของมาสด้าที่ชอบคิดต่าง ไม่เดินตามใคร จึงเกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการรถยนต์ อย่างปีที่ผ่านมากับทริปทดสอบกระบะสายพันธุ์แกร่ง มาสด้า บีที-50 โปร ซึ่งมีสื่อมวลชนเข้าร่วมภารกิจในครั้งนั้นราว 70 ชีวิต บนเส้นทางสุดท้าทายและไม่เคยมีผู้ใดกล้าท้าพิสูจน์มาก่อนกับการเดินทางจากประเทศไทยทั้งไปและกลับ ซึ่งพาสื่อมวลชนไปสตาร์ทที่ปักกิ่งมุ่งหน้าสู่กรุงอูลานบาตาร์ ประเทศมองโกเลีย ระยะทางรวมกว่า 20,000  กิโลเมตร ลุยทะเลทรายโกบีและทุ่งหญ้ามองโกเลีย ด้วยจุดแข็งของปิกอัพ มาสด้า บีที-50 โปร ที่เหนือชั้นในเรื่องความแกร่ง บึกบึน พร้อมลุยกับทุกสภาพถนน เส้นทางสายนี้จึงถูกเลือกให้เป็นดั่งสนามทดสอบอันทรหด ผ่านอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นสภาพพื้นผิวที่ขรุขระ หินอันแหลมคม พื้นดินที่ยุบตัว สภาพอากาศที่หนาวเย็น ต้องขับข้ามขอบฟ้า ทุ่งหญ้า ทะเลทราย ภูเขาหลากหลายลูก โดยมีเส้นชัยการคือถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพทั้งคนและรถ ซึ่งมาสด้า บีที-50 โปร ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง สร้างความประทับใจอย่างมิรู้ลืม


มาถึงปีนี้มาสด้าจัดคาราวาน Mazda Skyactiv Asean Caravan พานักข่าวจากทั่วอาเซียน ทั้ง ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ควบรถมาสด้าที่นำเทคโนโลยีสกายแอคทีฟทุกรุ่น ตั้งแต่ มาสด้า2, มาสด้า3, ซีเอ็กซ์-3 จนถึงรุ่นใหญ่อย่างซีเอ็กซ์-5 ออกโลดแล่นไปบนเส้นทางสายอารยธรรมแห่งอาเซียน ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา รวมทั้งสิ้นกว่า 4,450 กิโลเมตรความพิเศษของทริปนี้ คือ การเปิดประเทศไทยเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC อย่างเต็มภาคภูมิ เป็นการทดสอบสมรรถนะของรถมาสด้าหลายรุ่นในทริปเดียว และด้วยสภาพการจารจรที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ทั้งสภาวะที่การจราจรแออัดรถจักรยานยนต์วิ่งสวนไปมา เส้นทางถนนสวนสองเลนต้องใช้อัดเร่งสูงในการแซง  เทคโนโลยีสกายแอคทีฟจึงถูกใช้ครบในทุกฟังก์ชั่นจริงๆ และไม่ใช่สื่อมวลชนสายยานยนต์ของเมืองไทยเท่านั้นที่เข้าร่วมพิชิตเส้นทางนี้ ยังได้รับการตอบรับจากสื่อมวลชนประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนเข้าร่วมทดสอบสมรรถนะของเทคโนโลยีในครั้งนั้นด้วย มาสด้าจึงกลายเป็นแบรนด์รถยนต์ที่นำร่องการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเต็มตัว อีกทั้งได้เรียนรู้อารยะธรรมแต่ละประเทศ พร้อมๆ กับการเผยแพร่อารยธรรมไทยให้แก่ประเทศสมาชิกด้วย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว ทุกเส้นทางที่คาราวานขับผ่านต่างมีประวัติความเป็นมา และเป็นสถานที่สำคัญของประเทศนั้นๆ โดยใช้รถมาสด้าเป็นพาหนะนำไปสู่เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์


และล่าสุดมาสด้ากลับมาต่อยอดความสำเร็จกับการพิชิตเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ โดยเพิ่มขีดความท้าทายด้วยการมุ่งหน้าสุดขั้วโลกไปกับรถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์ ซีเอ็กซ์-3 และมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ จากจุดเริ่มต้น ณ เมืองอูลานบาร์ตาร์สู่เมือง Moscow โดยแบ่งผู้ร่วมพิชิตเส้นทางออกเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มแรกเดินทางเพื่อต่อยอดจากเส้นทางทริปประวัติศาสตร์ด้วยรถปิกอัพมาสด้า บีที-50 โปร ที่จัดไปเมื่อปีที่แล้ว โดยมีจุดสตาร์ทที่เมืองหลวงของมองโกเลีย คือ อูลานบาร์ตาร์ และมีจุดหมายปลายทาง คือ เมืองโนโวซีบีร์ส ซึ่งเป็นเมืองชายแดนระหว่างไซบีเรียกับรัสเซีย รวมระยะทางกว่า 3,000 กิโลเมตร และต่อจากนั้นหลังจากแตะมือกับกลุ่มสอง เริ่มต้นจากเมืองโนโวซีบีร์สมุ่งหน้าสูกรงมอสโก เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย รวมระยะทาง 3,500 กิโลเมตร เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ยังไม่ทิ้งความท้าทายสมรรถนะทั้งรถ และฝีมือการขับขี่ของผู้ร่วมเดินทาง ด้วยเส้นทางที่ต้องผ่านหลากหลายอุปสรรคทั้งสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่แตกต่างจากบ้านเมืองเราอย่างสิ้นเชิง และในอีกมุมจะทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติอันสมบูรณ์ ชื่นชมเส้นทางที่สวยงาม และร่วมเขียนบันทึกประวิติศาสตร์หน้าใหม่อีกครั้ง เก็บความประทับใจอย่างมิรู้ลืม อีกทั้งยังเป็นเครื่องยืนยันถึงสมรรถนะของครอสโอเวอร์แบรนด์มาสด้าได้เป็นอย่างดี


การเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ของขบวนรถอเนกประสงค์ของมาสด้า CX-3 และ CX-5 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟ-จี ขนาด 2.0 ลิตร จะพาไปสัมผัสประสบการณ์สุดขั้วโลก กับการทดสอบความทรหดของรถยนต์มาสด้ากับ Mazda Skyactiv Crossover ด้วยการเดินทางไปยังดินแดนที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ดินแดนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ความลึกลับ และประวัติศาสตร์ต่างๆมากมาย ท่ามกลางสภาพภูมิประเทศที่มีความหลากหลาย และภูมิอากาศที่หนาวเย็น เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้แบ่งสื่อมวลชนเป็น 2 กลุ่ม โดยระยะทางรวมทั้งสิ้น 6,500 กิโลเมตร ซึ่งครั้งนี้เราเดินทางในกลุ่มแรก ไปลงเครื่องที่ปักกิ่งและต่อเครื่องไปยังประเทศมองโกเลีย พอเครื่องบินแลนดิ้งแตะรันเวย์พวกเรามองไปนอกหน้าต่างก็เจอกับภูเขาหิมะ พร้อมอากาศอันหนาวเหน็บมาคอยต้อนรับพวกเรา หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและรับสัมภาระต่างก็ออกมาประจำรถที่พวกเราจะต้องกินอยู่หลับและขับ ทั้งยังทำกิจกรรมต่างๆนานาบนรถคันนี้แทบทั้งวันตลอดระยะเวลา 1 อาทิตย์ การเดินทางครั้งนี้มีรถยนต์มาสด้า CX-3 จำนวน 6 คัน , CX-5 จำนวน 2 คัน ทั้งยังมีมาสด้า BT-50 ซึ่งทีมงานทรานเอเชีย เป็นผู้นำและปิดท้ายคาราวาน พาหนะของเราเป็นรถยนต์ CX-3 โดยสาร 3 คน พร้อมสัมภาระขนาดใหญ่ของ 3 คน สามารถใส่ลงไปใน CX-3 ได้อย่างพอดี วันแรกของการเดินทางออกจากเมืองอูลานบาตอร์ ขับไปเมืองซุคบาตา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ รวมระยะทาง 330 กม. เส้นทางในวันแรกเป็นถนนลาดยางสลับลูกรังและทางดินซึ่งไม่เป็นอุปสรรคเท่าไหร่นัก วันที่ 2 เราออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะต้องข้ามพรมแดนออกจากมองโกเรีย และทำการตรวจคนเข้าเมืองรัสเซีย ซึ่งใช้เวลาไปแทบทั้งวันโดยต้องนั่งอยู่บนรถ หลังจากคาราวานผ่านเข้าเมืองก็เกือบพลบค่ำ แต่คาราวานต้องเดินทางไกลอีก 330 กิโลเมตร จึงจะถึงจุดหมาย เราต้องขับผ่านขึ้นลงเขาซึ่งมากจนนับไม่ไหว ผ่านทางคดเคี้ยว ซึ่ง CX-3 ตอบโจทย์และให้ความมั่นใจได้ดี ตลอดเส้นทางมีแต่ความมืดและเงียบสงัด มีแต่เพียงขบวนคาราวานของเราที่ต้องพากันไปให้ถึงจุดหมายยังเมือง อูลัน อูเต ถึงที่พักราวสามทุ่ม ต่างก็รีบทานมื้อเย็นและพาร่างกายอันอ่อนล้าเข้าพักผ่อน วันที่ 3 สภาพอากาศช่างโหดร้ายกับพวกเรา อากาศติดลบไม่คุ้นเคยกับคนไทย เดินออกจากที่พักขนสัมภาระรีบขึ้นรถ จากนั้นรีบเปิดระบบฮีทเต้อร์ใน CX-3 เพื่อช่วยให้พวกเราคลายหนาวลง การเดินทางวันนี้ระยะทางไกลถึง 510 กิโลเมตร ซึ่งมีจุดหมายที่ทะเลสาบไบคาล สถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องมาเยือนเมื่อทะเลสาบเป็นน้ำแข็ง ไบคาลเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความยาวราว 650 กิโลเมตร และลึกถึง 1.64 กิโลเมตร การเดินทางวันนี้ยังคงผ่านทางคดเคี้ยวเช่นเดิม แต่ CX-3 ก็พาพวกเรามาถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย


เช้าวันที่ 4 ของการเดินทาง คาราวานของเราได้ยลโฉมทะเลสาบอันเลื่องชื่อ ซึ่งได้สัมผัสถึง “ดวงตาสีน้ำเงินแห่งไซบีเรีย” ก่อนจะเดินทางไกลถึง 750 กิโลเมตร โดยมีจุดหมายอยู่ที่เมืองไทเชิร์ท เช้าวันที่ 5 การเดินทางวันนี้เราเจอกับหิมะที่ตกลงมาตลอดการเดินทาง ด้วยระบบต่างๆของ CX-3 ที่ให้มาอย่างครบครันทำให้เรามั่นใจตลอดการเดินทาง ระยะทางวันนี้ 450 กิโลเมตร ซึ่งปลายทางอยู่ที่เมืองคราสโนยาร์ส และเช้าวันถัดมาเราต้องเดินทางต่อไปยังเมืองเคเมโรโว รวมระยะทางราว 530 กิโลเมตร เช้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางของคาราวานในกลุ่ม 1 ในวันนี้เราพบเจอกับพายุหิมะที่เป็นอุปสรรคในการเดินทาง แต่ CX-3,CX-5 และ BT-50 ก็ผ่านพ้นมาได้อย่างปลอดภัย ระยะทางวันนี้ขับเพียง 270 กิโลเมตร ถึงไม่ไกลนักแต่การเดินทางที่มีอุปสรรค เพราะสภาพถนนและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย จำเป็นต้องอาศัยรถที่มีสมรรถนะดีและผู้ขับก็ต้องมีทักษะด้วยเช่นกัน จึงจะพากันไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ซึ่งเราเดินทางไปยังเมืองโนโวซีบีส และไปแตะมือกับกลุ่ม 2 เพื่อส่งรถต่อให้กลุ่ม 2 ขับไปยังจุดหมายอีก 3,500 กิโลเมตร ที่กรุงมอสโค

จากการเดินทางทั้ง 7 วัน ขบวนคาราวานต้องใช้รถ CX-3,CX-5 เป็นพาหนะหลัก บอกได้เพียงว่าการเดินทางในครั้งนี้คือบททดสอบสมรรถนะ พละกำลัง ความอึด แกร่ง และระบบต่างๆของรถยนต์ CX-3 และ CX-5 อย่างสุดโหด และต้องบอกว่า CX-3,CX-5 ตอบโจทย์การใช้งานอรรถประโยชน์ เพราะสภาพถนนมีหลายรูปแบบทั้งทางลาดยาง ทางฝุ่น ทางโค้งที่ขับผ่านมามากมายอย่างนับไม่ถ้วน รวมถึงทางขึ้นลงเขาคดเคี้ยว และสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ ขุมพลังของเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ ให้การตอบสนองฉับไว แรงต่อเนื่อง เพราะถนนในทุกวันของการเดินทางส่วนใหญ่เป็นเลนสวน จากการใช้งานจริง CX-3,CX-5 ให้ความประทับใจเกินคาด ทริปนี้คือบททดสอบความท้าทายที่พิสูจน์ทั้งรถและคนได้อย่างหนักหน่วงจริงๆ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้