มาสด้า เผยความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจปี 2560 ประกาศมั่นใจปี 2561 ตลาดรถยนต์กลับมาคึกคัก เตรียมเปิดตัวรถใหม่ 4 รุ่น พร้อมสีใหม่โดนใจ Soul Red Crystal พร้อมใส่เทคโนโลยีใหม่สุดล้ำ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เน้นกลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว พร้อมมุ่งหน้าขยายโชว์รูมและศูนย์บริการทั้งหมดทั่วประเทศภายใต้แนวคิดใหม่ภายในต้นปี 2019 รุกบริการหลังการขาย มั่นใจปีนี้ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 60,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 15%
ชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวและปรับตัวดีขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีของฐานรายได้จากการส่งออก การลงทุนภาครัฐที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์สูงและเร่งขึ้น, การปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติของการผลิตในภาคเกษตรและการฟื้นตัวของรายได้เกษตรกร รายได้ในภาคการท่องเที่ยวที่ยังมีแนวโน้มเร่งขึ้นรวมถึงการปรับตัวดีขึ้นของตลาดรถยนต์ในประเทศ โดยเมื่อปีที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์ยอดขายอุตสาหกรรมรถยนต์ไว้เกิน 800,000 คัน และขยับมาที่ 840,000 คัน แต่สามารถขายได้จริงประมาณการณ์อยู่ที่ 870,000 คัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้สูงถึง 13% เปรียบเทียบกับตัวเลขยอดรวมเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 768,788 คัน สำหรับมาสด้ามียอดขายเติบโตสูงถึง 51,355 คัน หรือเติบโตขึ้น 21% ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 5.9% โดยยอดขายแต่รุ่นประจำปี 2560 มีดังนี้ Mazda2 จำนวน 31,760 คัน เพิ่มขึ้น 37% Mazda3 จำนวน 4,979 คัน เพิ่มขึ้น 21% CX-5 จำนวน 4,835 คัน เพิ่มขึ้น 46% CX-3 จำนวน 3,812 คัน ลดลง 20% BT-50 PRO จำนวน 5,939 คัน ลดลง 16% MX-5 จำนวน 30 คัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
มาสด้าประเมินสถานการณ์ตลาดรถยนต์ของไทยในปี 2561 ว่ามีแนวโน้มและทิศทางที่สดใส จากมอเตอร์ เอ็กซ์โปที่ผ่านมา แต่ละค่ายมียอดจองที่เพิ่มขึ้น ส่วนของมาสด้าเอง ซึ่งยอดจองที่สูงขึ้นนั้นได้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยบวกหลายๆ ด้านที่เกิดขึ้นในประเทศ แผนการพัฒนาธุรกิจของมาสด้าในปี 2561 คาดว่ายอดขายรวมของตลาดรถยนต์จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5% หรือมากกว่า 920,000 คัน สำหรับมาสด้ามองว่ายอดขายปีนี้จะเพิ่มสูงกว่า 60,000 คัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 15% ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 6% โดยปีนี้จะเน้นการบริการทั้งก่อนและหลังการขายด้วยการเสริมศักยภาพของทีมงาน รวมถึงการแนะนำรถใหม่เข้าสู่ตลาดอีก 4 รุ่น ควบคู่ไปกับกลยุทธ์การสื่อสารที่ฝ่ายการตลาดได้เพิ่มช่องทางการสื่อสารเพื่อสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น
ทางด้าน ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด เปิดเผยว่า ปีนี้จะเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว เริ่มจากพัฒนาโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐาน ภายใต้รูปลักษณ์และคอนเซ็ปต์ใหม่ของมาสด้า หรือ Mazda Corporate Identity เพื่อยกระดับแบรนด์และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในโชว์รูม รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางการสื่อสารให้ลูกค้ากับมาสด้าใกล้ชิดกันมากขึ้น ด้วยรูปแบบการสื่อสารทางออนไลน์ ซึ่งมาสด้าได้ทำอย่างครอบคลุมหรือที่เรียกว่า Mazda Digital Platform
ในขณะที่ อัสสึชิ ยาซูโมโต รองประธานบริหาร เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจประเทศหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมหลายประเภทรวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ ทั้งนี้ประเทศไทยมีศักยภาพทั้งในเรื่องของแรงงานและทำเลที่ตั้ง ซึ่งเหมาะแก่การลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นตลาดหลักตลาดหนึ่งของมาสด้าในด้านยอดขายที่สูงเป็นอันดับที่ 1 ในภูมิภาคอาเซียน สูงสุดติดกันมากกว่า 10 ปี การผลิตสำคัญๆ ที่จากเดิมผลิตในประเทศญี่ปุ่นและส่งออกมายังประเทศฐานการผลิตต่างๆ ขณะนี้ได้ถูกถ่ายทอดมายังประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตรถยนต์ครบวงจรแห่งแรกของมาสด้านอกจากในประเทศญี่ปุ่นเอง โดยในประเทศไทยสามารถผลิตทั้งเครื่องยนต์ เกียร์ รวมถึงการประกอบรถยนต์ ได้แก่ มาสด้า2, มาสด้า3, CX-3 และ มาสด้า BT-50 โปร ที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ จังหวัดระยอง และยังได้เพิ่มส่วนของการผลิตที่โรงงานมาสด้า พาวเวอร์เทรน แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย (MPMT) โดยจะเพิ่มการผลิตไปในส่วนของการผลิต เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ที่ได้กล่าวมานี้คือยุทธศาสตร์ที่จะขับเคลื่อนของมาสด้าที่จะเกิดขึ้นในปี 2561